ข่าววันอาทิตย์ที่ 1 เมษายน 2544

    จากข่าวสะเทือนใจคนรักสัตว์ที่ตีแผ่ออกไปทั่วโลกโดยสำนักข่าวรอยเตอร์ ถึง
    พฤติกรรมการบริโภคของชาวจีน ที่นิยมเปิบเนื้อสัตว์อะไรก็ไม่นิยม กลับหันมา
    บริโภคเนื้อสุนัขเป็นล่ำเป็นสัน และถือเป็นรายการเปิบพิสดารขนานแท้ เพราะเนื้อที่
    คีบเข้าปากนั้นกลับเป็นสุนัขพันธุ์ใหญ่ยักษ์ "เซนต์เบอร์นาร์ด" เพื่อนขนปุยแสนซื่อ
    ของมนุษย์นั่นเอง โดยอ้างว่ามีรสเลิศ เนื้ออ่อนนุ่มหอมหวาน และพ่อครัวนำมาทำ
    เป็นอาหารขึ้นเหลา พลิกแพลงได้กว่า 50 รายการ จนกลุ่มผู้รักสัตว์นานาชาติต่าง
    ออกมาประสานเสียงก่นประณามไปแล้วนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 31
    มี.ค.ที่ผ่านมาว่า ได้รับการเปิดเผยจากนายสัตวแพทย์ชิษณุ ติยะเจริญศรี
    รองเลขาธิการสมาคมป้องกัน การทารุณสัตว์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงข่าวการนำ
    เนื้อสุนัขพันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดมาทำเป็นอาหารในประเทศจีนว่า ทั้งในส่วนตัวและ
    ทางสมาคมไม่เห็นด้วยอยู่แล้วกับการทำเนื้อสุนัขมาทำเป็นอาหาร เพราะทุกคนก็
    ทราบดีว่า สุนัขเปรียบเสมือนเพื่อนของมนุษย์ การกินเนื้อสุนัขก็เหมือนกับการกิน
    เนื้อเพื่อนตัวเอง แต่การที่จะไปต่อว่า ประเทศจีนนั้นคงพูดยาก เพราะโดย
    วัฒนธรรมของจีนแล้ว การกินเนื้อสุนัขมีมายาวนานนับพันๆปีแล้ว เป็นเรื่องของ
    วัฒนธรรมการกินของชาวจีน ซึ่งแตกต่างจากวัฒนธรรมการกินอาหารของทั่วโลก
    และเท่าที่ทราบ เนื้อสุนัขของจีนที่นำมาบริโภคโดยมากจะมาจากฟาร์มที่เลี้ยงเอา
    เนื้อมากินเหมือนกับการทำฟาร์มเนื้อหมูในบ้านเรา เนื่องจากประชาชนทางเหนือ
    ของประเทศค่อนข้างยากจนและหนาวมาก เมื่อไม่มีอะไรกินก็เลยต้องกินเนื้อสุนัข
    แทน เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งเกิดขึ้น และไม่ได้เป็นแค่พันธุ์เซนต์เบอร์นาร์ดอย่างเดียว
    แต่มีเกือบทุกพันธุ์ อย่างเมื่อก่อนพันธุ์เชาเชา ก็เป็นที่นิยม เพราะนอกจากจะเอา
    ไว้ใช้งานแล้ว ยามแก่ตัวยังเอามากินได้ด้วย

    นายสัตวแพทย์ชิษณุยังกล่าวอีกว่า นอกจากการนิยมบริโภคเนื้อสุนัขของชาวจีนไม่
    ใช่เรื่องใหม่แล้ว ยังมีการโหม โฆษณาทางอินเตอร์เน็ตเชิญชวนให้คนหันมาลงทุน
    ทำฟาร์มเลี้ยงสุนัขไว้บริโภค และทำเนื้อสุนัขกระป๋อง ขายอีกด้วย เรียกว่าเชิญชวน
    ให้มาทำเป็นโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เหตุที่จีนกล้าทำถึงขนาดนี้ก็
    เพราะคนในประเทศเขากิน แต่ก็มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น
    สุนัขพันธุ์ไหนก็ไม่น่าเอามาเป็นอาหารทั้งสิ้น ซึ่งขณะนี้ตนและกรรมการในสมาคม
    กำลังปรึกษากันอยู่ว่าจะทำหนังสือประท้วงประเทศจีนดีหรือไม่ เพราะเป็นเรื่องที่
    ละเอียดอ่อนเกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ฉะนั้น จะทำอะไรคงต้อง
    ระมัดระวัง เพราะประเทศไทยก็มีข่าวการกินเนื้อสุนัขเช่นกัน เกรงว่าถ้าส่งหนังสือ
    ไปจะถูกตอกหน้ากลับมาได้ ดังนั้น จึงสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ เราไม่อยากให้ประเทศ
    ของเราถูกบันทึกลงในประวัติศาสตร์ว่า เมือง ไทยเองก็มีวัฒนธรรมการกิน
    เนื้อสุนัขอย่างนี้อยู่ด้วย ซึ่งทางสมาคมเองก็เคยนำภาพทางอินเตอร์เน็ตนี้เสนอต่อ
    ที่ประชุม ของกระทรวงการต่างประเทศในรัฐบาลชุดที่แล้ว เนื่องจากเห็นว่าอยาก
    ให้รัฐเร่งแก้ปัญหานี้ใน จ.สกล-นคร เพราะจะส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ของประเทศ
    ด้วย

    นายสัตวแพทย์คนดังบอกอีกว่า ถ้าไม่นับที่จีนแล้วก็อาจถือได้ว่าที่สกลนคร เป็น
    แหล่งใหญ่ในการผลิตเนื้อสุนัข แห่งหนึ่งเหมือนกัน คือนอกจากที่จะเอาเนื้อมากิน
    แล้วยังเอาหนังส่งออกนอกด้วยไปที่ประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี อาทิ เมื่อ 4-5 ปีก่อน
    เป็นแค่การส่งหนังดิบ แต่ปัจจุบันนี้มีการตั้งโรงงานฟอกหนังสุนัขมาทำเป็นถุงมือ
    ตีกอล์ฟ ที่สำคัญคือระบุด้วยว่าเป็น "ด็อก สกิน" หรือ "หนังสุนัข" ให้เห็นชัดเจนเลย

    ทั้งนี้ ตามที่นายสัตวแพทย์ชิษณุอ้างถึงการโฆษณาธุรกิจขายเนื้อสุนัขเพื่อบริโภค
    อย่างเปิดเผย ผู้สื่อข่าวตรวจสอบจาก อินเตอร์เน็ตพบเว็บไซต์
    http:/www. aapn.org. ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่เผยแพร่เกี่ยวกับการคุ้มครองสัตว์
    ทั่วโลก ซึ่งภายในนั้นมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการเพาะเลี้ยงสุนัขเพื่อบริโภคด้วย
    และพบโฆษณาชิ้นหนึ่งระบุว่าเป็นของบริษัท "เชาซิง เหมยลิเจียน" ตั้งอยู่ที่เมือง
    ตงปู มณฑลเจเจียง สาธารณรัฐประชาชนจีน ชักชวนให้มาลงทุนร่วมกัน โดยใน
    เนื้อหาระบุว่าบริษัทนี้เลี้ยงสุนัขไว้ในฟาร์มราว 10,000 ตัว เป็นบริษัทที่มี
    เทคโนโลยีการผลิตเนื้อสุนัข อันทันสมัยมีประสิทธิภาพสูงในการผลิตเนื้อสุนัขให้มี
    คุณภาพพร้อมบรรจุอยู่ใน กระป๋องอย่างดี รวมทั้งบรรยาย สรรพคุณเนื้อสุนัขว่าไม่
    ได้เป็นแค่อาหารเพื่อสุขภาพเท่านั้น เนื้อสุนัขของบริษัทนี้ยังให้คุณค่าเป็นยาบำรุง
    อีกด้วย และเมื่อผ่านกระบวนการผลิตอันซับซ้อนแล้วจะสามารถเก็บไว้ได้นาน
    คาดว่าต่อไปตลาดเนื้อสุนัขจะเติบโตในไม่ช้า เมื่อลงทุนแล้วจะได้ผลกำไรตอบแทน
    ระยะสั้น ทั้งนี้ บริษัทดังกล่าวตั้งขึ้นมาเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2540 จากน้ำพักน้ำแรง
    ของนักลงทุนในท้องถิ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อเพาะพันธุ์สุนัขขายเพื่อการบริโภค เบื้อง
    ต้นใช้เงินลงทุนแค่ 3.5 ล้านหยวน หักต้นทุนแล้วได้กำไรถึง 3 แสนหยวน
    และปัจจุบันนี้ฟาร์ม "เชาซิง เหมยลิเจียน" กลายเป็นฟาร์มระดับแนวหน้า ในการ
    เพาะเลี้ยงและผลิตเนื้อสุนัขเพื่อบริโภค หากสนใจร่วมลงทุนด้วย ติดต่อได้ที่
    นายเฉิน เบ๋าซิง เซนต์เบอร์นาร์ด